บาคาร่า : Baccarat

โครงสร้างการเล่นบาคาร่า มีความคล้ายคลึงกับไพ่แบล็คแจ็คของฝรั่งเศสมาก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เกมบาคาร่าได้รับความนิยมสูงที่สุดในเมืองริเวียร่า Riviera โดยจะมีรูปแบบการเล่นอยู่ 2 แบบคือ

รูปแบบที่ 1 บาคาร่าแบบเชอแมงเดอเฟร์ (Chemin De Fer) โดยผู้เล่นที่วางเดิมพันสูงสุดจะได้เป็นเจ้ามือและผู้เล่นที่วางเดิมพันสูงสุดรองลงมาจะได้เป็นตัวแทนของผู้เล่นที่เหลือในการเล่นวางเดิมพันกับเจ้ามือ

รูปแบบที่ 2 บาคาร่าแบบอันบาค (En-Banque) โดยบ่อนคาสิโนจะเป็นเจ้ามือเองและมีดีลเลอร์ในการทำการแจกไพ่ให้กับผู้เล่น ลักษณะของโต๊ะบาคาร่าจะมีที่นั่งสำหรับผู้เล่นด้านซ้ายและด้านขวาฝั่งละ 5 คน ผู้เล่นแต่ละฝั่งจะมีตัวแทนฝั่งละ 1 คนเท่านั้นที่จะเข้าร่วมเดิมพันกับเจ้ามือ

สำหรับประวัติของเกมบาคาร่าในสหรัฐอเมริกานั้น เชื่อกันว่า บาคาร่า ได้เข้าสู่อเมริกาในช่วงคริสต์ศักราช 1911-1912 คนอเมริกาส่วนใหญ่นิยมเล่นไพ่แบล็คแจ็คมากกว่าจนในปี 1959 ทอมมี่ เรนโซนี่ Tommy Renzoni ได้นำกฎกติกา เล่นบาคาร่า ขึ้นใหม่และนำไปทดลองเล่นในบ่อนคาสิโนแคปริ Capi Casino จากนั้นจึงได้ย้ายถิ่นฐานไปที่ลาสเวกัสจึงทำให้เกมบาคาร่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบันนี้ ทอมมี่ เรนโซนี่ได้รับการขนานนามว่า บิดาแห่งเกมบาคาร่าฉบับอเมริกัน เนื่องจากทอมมี่เป็นผู้คิดค้นนั่นเอง

วิธีการเล่นเกมบาคาร่า

การเดิมพันไพ่ของผู้เล่น 2 ฝั่ง คือฝั่งเจ้ามือ (Banker) และฝั่งผู้เล่น (Player) โดยทำการแจกไพ่ให้ฝั่งละ 2 ใบ (ไม่เกิน 3 ใบ) โดยบาคาร่าใบที่ 1 และใบที่ 3 จะแจกให้ฝั่ง Player ไพ่บาคาร่าใบที่ 2 และ 4 จะแจกให้ฝั่ง Banker (ถ้าฝั่งไหนต้องการไพ่ใบที่ 3 ต้องเป็นไปตามกฎการจั่วไพ่ใบที่ 3) การแจกไพ่จะเป็นในลักษณะแจกไพ่หงายขึ้นเสมอฝั่งไหนที่มีแต้มรวมมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ผู้วางเดิมพันต้องทำการเลือกว่าไพ่ของฝั่งไหนจะเป็นผู้ชนะ เลือกรูปแบบวางเดิมพันได้ดังนี้

กติกาการ เล่นบาคาร่า เบื้องต้น

1. ให้ผู้เล่นเลือกข้างที่จะวางเดิมพันว่าจะเล่นฝั่ง Banker หรือ Player ชนะ วางเดิมพันเสมอหรือแทงเป๊าะก็ได้
2. แต้มสูงสุดของบาคาร่าอยู่ที่ 9 แต้มเหมือนกับไพ่ป๊อกเด้ง
3. ถ้าไพ่ 2 ใบแรกได้แต้มรวมกัน 8 หรือ 9 แต้ม ก็แทงเป๊าะเลยไม่ต้องจั่วเพิ่ม

• ถ้าแต้ม 2 ใบแรก รวมกันได้ต่ำกว่า 5 (0, 1, 2, 3, 4, 5) ต้องจั่วเพิ่มอีก 1 ใบ
• ถ้าแต้ม 2 ใบแรก รวมกันได้ 6 หรือ 7 ไม่ต้องจั่วเพิ่มแล้วถือว่าไพ่อยู่

รูปแบบการวางเดิมพันเกมบาคาร่า

1. Player ทายว่า แต้มรวมไพ่ของฝั่ง Player จะเป็นผู้ชนะ 1 : 1
2. Banker ทายว่า แต้มรวมไพ่ของฝั่ง Banker จะเป็นผู้ชนะ 1 :95
3. Tie Game ทายว่า แต้มรวมของทั้งสองฝั่งจะออกเสมอ 1 : 8
4. Player Pair ทายว่า ไพ่สองใบแรกของฝั่ง Player จะออกไพ่คู่ 1: 11
5. Banker Pair ทายว่า ไพ่สองใบแรกของฝั่ง Banker จะออกไพ่คู่ 1 : 11

แต้มไพ่บาคาร่า

ไพ่ Ace : 1 แต้ม

ไพ่ 2 : 2 แต้ม

ไพ่ 3 : 3 แต้ม

ไพ่ 4 : 4 แต้ม

ไพ่ 5 : 5 แต้ม

ไพ่ 6 : 6 แต้ม

ไพ่ 7 : 7 แต้ม

ไพ่ 8 : 8 แต้ม

ไพ่ 9 : 9 แต้ม

ไพ่ 10, K, Q, J : 0 แต้ม

ไพ่เซียนและไพ่ 10 แต้มจะคิดเป็น 0 แต้ม ไพ่ A คิดเป็น 1 แต้ม ส่วนไพ่ใบอื่นๆ จะคิดแต้มตามหน้าไพ่ กรณีต้องจั่วไพ่ใบที่สามกฎกติกาพิเศษจะอยู่ด้านล่างฝ่ายใดมีคะแนนรวมแล้วจะใกล้เคียงกับ 9 แต้มมากที่สุดถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลเท่ากับจำนวนที่ได้วางเดิมพันไว้ แต่ทุกครั้งที่วางเดิมพันเจ้ามือชนะนั้นจะต้องหักเงินที่ได้ครั้งละ 5% ถ้าทั้งสองฝ่ายมีแต้มเท่ากันผู้ที่วางเดิมพันเสมอ (Tie) จะได้อัตราการจ่าย 8 เท่าของเงินที่วางเดิมพัน ดังนั้น ผู้ที่เดิมพัน(ผู้เล่น) กับ (เจ้ามือ) จะไม่มีได้เสีย

• กติกา (ผู้เล่น)

• กติกา (เจ้ามือ)

ไพ่สองใบแรกของผู้เล่น (Player) รวมแล้วได้ 6 หรือ 7 แต้มจะไม่มีการจั่วไพ่ ไพ่สองใบแรกของเจ้ามือ (Banker) รวมแล้วได้ 0, 1, 2, 3, 4, 5 แต้ม จะต้องจั่วไพ่แต่ถ้ารวมแล้วได้ 6, 7, 8, 9 แต้มก็ไม่ต้องจั่วไพ่ ถ้าแต้มของเจ้ามือรวมแล้วได้ 0, 1, 2 จะต้องจั่วไพ่และปฏิบัติตามกติกาของเจ้ามือ

• กติกา (ไพ่คู่)

ไพ่สองใบแรกของเจ้ามือเหมือนกันเรียกว่า ไพ่คู่เจ้า ไพ่สองใบแรกของผู้เล่นเหมือนกันเรียกว่า ไพ่คู่ผู้เล่น อัตราการจ่าย 1 : 11

• กติกา (ใหญ่เล็ก)

วิธีการเล่นเล็ก จำนวนไพ่ทั้งสองฝ่ายรวมกันเป็นเป็น 4 ใบแรกก็มีผลแพ้ชนะหรือไม่มีการจั่วไพ่ก็ถือว่า ออก(เล็ก) เล็กอัตราการจ่าย 1 : 1.5

วิธีการเล่นใหญ่ จำนวนไพ่ทั้งสองฝ่ายรวมกันเป็น 5 หรือ 6 ใบ หรือเรียกว่า จั่วไพ่ ก็ถือว่า ออก(ใหญ่) ใหญ่อัตราการจ่าย 1 : 0.54 ทุกแถวหลังจากตาที่ 30 ไม่สามารถวางเดิมพัน “สูง,ต่ำ”

กติกาการจั่วไพ่บาคาร่า

• ถ้าแต้มของฝั่ง Banker ต่ำกว่า 2 แต้ม จั่วเพิ่มทันที 1 ใบ
• ถ้าแต้มมากกว่า 3 แต้ม จะมีกฎเข้ามาควบคุมเกี่ยวกับการจั่วไพ่ของ Banker
• ถ้าไพ่ Banker มี 3 แต้ม และไพ่ใบที่ 3 ของไพ่ Player ได้ 8 แต้มของ Banker ไม่ต้องจั่วเพิ่ม
• ถ้าไพ่ Banker มี 4 แต้ม และไพ่ใบที่ 3 ของไพ่ Player ได้ 0, 1, 8, 9 Banker ไม่ต้องจั่วเพิ่ม
• ถ้าไพ่ Banker มี 5 แต้ม และไพ่ใบที่ 3 ของไพ่ Player ได้ 0, 1, 2, 3, 8, 9 Banker ไม่ต้องจั่วเพิ่ม
• ถ้าไพ่ Banker มี 6 แต้ม และไพ่ใบที่ 3 ของไพ่ Player ได้ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 8, 9 Banker ไม่ต้องจั่วเพิ่ม
• ถ้าไพ่ Banker มี 7 แต้ม ไม่ต้องจั่วเพิ่ม

กติกาโต๊ะบาคาร่า

1. วิธีเล่นบาคาร่าแบบหัก 5% ถ้าผู้เล่นเลือกวางเดิมพันฝั่ง Banker แล้วผลออกมาชนะ เงินรางวัลที่ได้จะถูกหักค่า Commission 5% ตัวอย่างเช่น วางเดิมพันฝั่ง Banker 100 บาท และชนะจะได้เงินรางวัลแค่ 95 บาท แต่ถ้าแทงฝั่ง Player 100 บาท และฝั่ง Player ชนะจะได้ 1020 บาทเต็ม
2. วิธีเล่นบาคาร่าแบบไม่มีค่า Commission ถ้าผู้เล่นเลือกเดิมพันฝั่ง Banker แล้ว ฝ่าย Banker ชนะที่ 6 แต้มจะได้รับเงินรางวัลแค่ครึ่งเดียว 50% แต่ถ้าชนะด้วยแต้มอื่นจะได้เงินรางวัลเต็ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวางเดิมพันฝั่ง Banker 100 บาท แล้วผลที่ออกคือ ฝ่าย Banker ได้ 6 แต้ม ฝ่าย Player 2 แต้ม จะเห็นว่า Banker ชนะที่ 6 แต้ม ผู้เล่นจะได้เงินรางวัล 50 บาท แต่ถ้าผลที่ออกเป็นฝ่าย Banker ได้ 7 แต้ม ฝ่าย Player ได้ 4 แต้ม ผู้เล่นจะได้เงินรางวัล 100 บาท

การจั่วไพ่บาคาร่าใบที่สาม

เนื่องจากการเล่นบาคาร่าจะทำการแจกไพ่ให้ฝั่ง Player ก่อน ดังนั้น ในกติกาการจั่วไพ่ใบที่ 3 จึงต้องพิจารณาที่แต้มรวมไพ่สองใบแรกของฝั่ง Player ก่อน แล้วจึงพิจารณาดูว่า จะอยู่หรือจะจั่วไพ่เพิ่ม ตามกฎการจั่วไพ่หากว่าฝั่ง Player มีการจั่วไพ่ใบที่ 3 ก็ต้องจั่วเพิ่มว่าได้ไพ่ใบอะไรหลังจากนั้นค่อยไปพิจารณาต่อว่าฝั่ง Banker จะทำการจั่วไพ่เพิ่มหรือไม่โดยรายละเอียดการจั่วไพ่ดังนี้

การสังเกตไพ่บาคาร่า

• ถ้าแต้มรวมไพ่สองใบแรก Player แต้ม 0-5 จะต้องจั่วไพ่เพิ่มเสมอ แต่ถ้ารวมไพ่สองใบแรกได้ 6 แต้มขึ้นไปให้อยู่ไม่ต้องจั่วไพ่เพิ่ม
• ถ้าฝั่ง Banker มีแต้มรวมสองใบแรกเพียง 3 แต้ม แต่ถ้าฝั่ง Player จั่วไพ่ใบที่ 3 ได้ 8 แต้ม ไม่ว่าผลรวมของฝั่ง Player จะมีกี่แต้ม ฝั่ง Banker จะไม่มีการจั่วไพ่ใบที่ 3 เพิ่ม
• ถ้าฝั่ง Banker มีแต้มรวมสองใบแรกเป็น 6 แต้มแต่ถ้าฝั่ง Player จั่วไพ่ใบที่ 3 ได้ 6 หรือ 7 แต้ม ไม่ว่าผลรวมของไพ่สามใบของฝั่ง Player เท่าไหร่ ฝั่ง Banker จะต้องจั่วไพ่ใบที่ 3 เสมอ
• การจั่วไพ่ใบที่ 3 ของฝั่ง Banker จะค่อนข้างซับซ้อนมากกว่าฝั่ง Player